5 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยาตื่นตัวทำประกันภัยพิบัติ ทุนประกันรวม 2.17 หมื่นล้านบาท สัดส่วน 48.65% ของกองทุน

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ เปิดเผยว่า สถิติการทำประกันภัยพิบัติในช่วงวันที่ 28 มี.ค. 2555 – 20 ก.ย 2556 ของ 5 จังหวัดที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงตามประมาณการของกองทุนฯ บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นครปฐม นนทบุรี และกรุงเทพฯ มีความตื่นตัวในการทำประกันภัยพิบัติในระดับสูง ซึ่งทั้ง 5 จังหวัดมีทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ รวม 2.17 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน  48.65% เมื่อเทียบกับทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ ทั้งประเทศ จำนวน 4.47 หมื่นล้านบาท

สำหรับ จังหวัดในพื้นที่เสี่ยงที่มีทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ สูงที่สุด คือ กรุงเทพฯ จำนวน 1.37 หมื่นล้านบาท รองลงมาได้แก่ นนทบุรี จำนวน 2,650 ล้านบาท ปทุมธานี จำนวน 2,492 ล้านบาท พระนครศรีอยุธยา จำนวน 1,949 ล้านบาท และนครปฐม จำนวน 874 ล้านบาท

นอกจากนั้น กรุงเทพฯ ยังมีทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ ในส่วนของผู้ทำประกันภัยทั้ง 3 ประเภทสูงที่สุด ได้แก่ บ้านอยู่อาศัย จำนวน 9,727 ล้านบาท ธุรกิจขนาดกลางและย่อม จำนวน 1,796 ล้านบาท และอุตสาหกรรม จำนวน 2,270 ล้านบาท

ในขณะที่จังหวัดนนทบุรีมีทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ ประเภทบ้านอยู่อาศัยสูงเป็นอับดับสอง จำนวน 2,217 ล้านบาท จังหวัดปทุมธานี มีทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ ประเภทธุรกิจขนาดกลางและย่อมสูงเป็นอันดับสอง จำนวน 356 ล้านบาท และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ ประเภทอุตสาหกรรมสูงเป็นอันดับสอง จำนวน 1,499 ล้านบาท

นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญของกองทุนส่งเสริมการประกัน ภัยพิบัติในการสร้างหลักประกันให้กับทรัพย์สินและกิจการในพื้นที่ที่มีความ เสี่ยงจากอุทกภัย  และพื้นที่ดังกล่าวยังมีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะเห็นได้จากเมื่อเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2554 ได้สร้างความเสียหายให้แก่โรงงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมของจังหวัดพระนครศรี อยุธยาและจังหวัดปทุมธานีหลายแห่ง ซึ่งประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร สวนอุตสาหกรรมโรจนะ นิคมอุตสาหกรรมนวนคร และสวนอุตสาหกรรมบางกระดี

ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งผลิตชิ้นส่วนและวัตถุดิบที่สำคัญของอุตสาหกรรม ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก เป็นต้น ดังนั้น การสร้างหลักประกันเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินและกิจการเมื่อประสบภัยพิบัติ จึงไม่ใช่เป็นการช่วยเหลือเฉพาะภาคเอกชนแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจของ ประเทศ และเป็นปัจจัยผลักดันให้นักลงทุนต่างชาติยังคงตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยและ ขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

 

 

แหล่งข่าวจาก posttoday…

This entry was posted in สุขภาพ. Bookmark the permalink.

Comments are closed.